ทานกันก้าต้องการเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชน

จาเฟ็ต ทานกันก้า เผยผมต้องการเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชน โดยกล่าวว่าฝันของผมเป็นจริงแล้วเมื่อได้โอกาสลงสนามเป็นผู้เล่นในพรีเมียร์ลีก โดยเขาออกสตาร์ทกับทีมบ้านเกิดแฮคนี่ย์ ที่กรุงลอนดอนตอนเหนือ 

นักเตะวัย 20 ปี ได้ใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตที่สเปอร์ส โดยเข้าร่วมทีมทั้งแต่เมื่ออายุ 10 ขวบและเขาได้ลงประเดิมสนามเกมพรีเมียร์ลีกนัดแล้วไปแล้วเกมที่พบจ่าฝูง ลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 11 มกราคม 

ด้วยความสัตย์จริง มันเป็นเหมือนความฝันของผมเลย ที่ได้ลงสนามในพรีเมียร์ลีก ตั้งแต่ที่ผมลงได้เตะฟุตบอลมา การลงสนามลีกสูงสุดเป็นเรื่องที่เหมือนกับความฝัน โดยเขาได้เล่นกับทีมบ้านเกิดอย่างสเปอร์สลงสนามโลดแล่นในพรีเมียร์ลีก ภายใต้ผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกส โชเซ่ มูรินโญ่

มันเกิดจากการทำงานหนักร่วมกันของเพื่อนร่วมทีม, ตัวผมเอง และผมก็ตอบแทนความไว้วางใจของบอสได้เป็นอย่างดี 

เกมแรกที่เปิดตัวไม่ใช่เกมง่ายเลย เพราะว่ามูรินโญ่มอบหมายให้ผมทำหน้าที่ประกบตัวซาดิโอ มาเน่นักเตะที่มีความเร็วสูงของลิเวอร์พูล, และเรายังต้องรับมือกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่และโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ที่ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ส สเตเดี้ยมด้วย

เกมนี้ทำให้ผมค่อนข้างวิตกกังวลจริงๆ เพราะว่าผมเพิ่งได้รู้เมื่อวันอังคารว่าจะได้ลงสนามเกมพบลิเวอร์พูล แต่เมื่อวันเสาร์ผมตื่นขึ้นมาและเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ผมรู้แล้วว่าผู้จัดการทีมต้องการส่งผมลงสนาม หมายความว่าเขาให้ความไว้ใจในตัวผม 

มันเป็นเรื่องยากจริงๆ เพราะผมต้องเผชิญกับ มาเน่, ซาล่าห์ที่เป็นสองนักเตะแอฟริกันที่ยอดเยี่ยมของทั้งสองปี ส่วนฟีร์มิโน่ก็เป็นนักเตะบราซิลที่เก่งกาจอยู่แล้ว แต่ผมมองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีเลยนะ

ขณะที่โจ โคล ได้ออกมาให้ความเห็นว่าสเปอร์สคิดถูกที่ปลด เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่และจ้างโชเซ่ มูรินโญ่อดีตนายเก่าของเขาเป็นผู้จัดการทีม

มูรินโญ่ได้เขามาคุมทีมแทน โปเช็ตติโน่เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงวิจารณ์มากมายถึงประสิทธิภาพการคุมทีมของมูรินโญ่ที่แย่ลงทุกที โดยผลงานของสเปอร์สคือตกรอบเอฟเอคัพ และแชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมเมื่อเดือนที่แล้ว และทีมยังอยู่อันดับที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก

แต่ว่าโจ โคลได้สนับสนุนนายเก่าโดยบอกว่า โชเซ่ได้เข้ามาคุมทีมในช่วงที่ยากลำบาก สื่อหลายสำนักต่อต้านเขา แต่ผมมองว่าเราควรต้องให้เวลาและโอกาสเขา ผมเชื่อว่าหากแดเนียล เลวี่ให้สิ่งนี้แก่เขา โชเซ่จะนำความความสำเร็จสู่ทีมได้

คล็อปป์เตือนแข้งหงส์อย่างหลงเหลี่ยมตราหมี

เจอร์เก้น คล็อปป์กุนซือลิเวอร์พูล เชื่อว่าทีมจะพลิกสถานการณ์กลับมาชนะแอต มาดริดผ่านเข้ารอบต่อไปได้ 

เมื่อเกมที่แล้ว กุนซือชาวเยอรมันถึงกับเปลี่ยนตัวซาดิโอ มาเน่ออกหลังจากที่ทีมถูกนำ 1-0 เพราะเกรงว่ากองหน้าชาวเซเนกัลอาจจะถูกใบเหลืองที่สองกลายเป็นใบแดงได้ คล็อปป์กล่าว่านักเตะฝ่ายตรงข้ามเล่นตามแท็กติกที่กุนซือ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่วางเอาไว้ 

เจอร์เก้น คล็อปป์กล่าวกระตุ้นลูกทีมต้องพยายามรวมใจกันและเล่นเพื่อให้เข้ารอบชิงชนะเลิศ ucl เป็นครั้งที่สามติดต่อกันให้ได้ 

ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลกล่าวว่า ผมเชื่อว่ามันเป็นไปได้ ขณะที่กัปตันทีมจอร์แดน เฮนเดอร์สันพร้อมลงสนามในเกมนี้ แต่ว่าพวกเขาจะขาดอลิสซง เบ๊คเกอร์ที่เจ็บสะโพก เกมที่สองนี้ผมมองว่าไม่ต่างจากเกมแรก แต่ว่าเพราะเกมแรกเราพลาดทำให้ต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ว่าผมเชื่อว่าบรรดานักเตะในสนามจะอาศัยโอกาสอันน้อยนิดพลิกเข้ารอบได้

คล็อปป์กล่าวต่อว่าเกมนี้ผมต้องการ ผู้ตัดสินที่ทันเกม เกมนั้นผู้ตัดสินชาวโปแลนด์ไม่ทันเกม ทำให้มาเน่ต้องถูกใบเหลืองและผมเกรงว่าเขาจะต้องถูกใบเหลืองที่สองไล่ออก ซึ่งการที่ผู้เล่นคนสำคัญของคุณเสี่ยงต่อการถูกไล่ออกผมก็ต้องรีบชิงเปลี่ยนตัวเขาออกจากสนามจะดีกว่า 

เรารู้ว่าแอต มาดริดเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม พวกเขาพยายามเล่นตามแท็กติกที่วางไว้โดยละเอียดจริงๆ 

แอนดี้ โรเบิร์ตสัน แบ๊กซ้ายของทีมเชื่อว่าเกมวันพุธนี้ ผู้ตัดสินแดนนี่ มัคเคลี่ของเนเธอร์แลนด์ จะต้องคอบดูพฤติกรรมของนักเตะตราหมีที่อาจจะใช้แท็กติกถ่วงเวลาที่สนามแอนฟิลด์นี้ก็ได้ หลังจากที่พวกเขาใช้กลยุทธ์นี้มาแล้วในเกมแรก

แอนดี้กล่าวต่อว่า เรามีประสบการณ์จากเกมที่แล้ว และเราต้องเล่นอย่างเต็มที่ เกมนี้น่าจะเป็นเกมที่อึดอัดแน่ๆ แต่ว่าผมคิดว่าทีมของเราจะเปลี่ยนสถานการณ์ได้ เราไม่อาจตัดสินเกมได้ มันก็ต้องขึ้นอยู่กับกรรมการที่ต้องตัดสินให้ได้อย่างทันเกม

เราจะมองไปที่รูปแบบการเล่นเพียงอย่างเดียว เราจะไม่ยอมให้เรื่องอื่นมากวนใจเรา เราต้องใจเย็นๆและเล่นอย่างมีสติ ผมคิดว่าโอกาสเข้ารอบของทีมยังมีโอกาสสูงอยู่

ลิเวอร์พูลแพ้ 3 จาก 5 เกมหลังโดยเป็นการแพ้ต่อแอต มาดริด 1-0,วัตฟอร์ด 3-0 และเชลซี 2-0 ส่วนเกมที่ชนะคือเปิดบ้านชนะเวสต์แฮม 3-2 และชนะบอร์นมัธ 2-1 เรียกว่าจุดแข็งของทีมคือเกมในบ้าน สนามแอนฟิลด์ของตัวเองที่พวกเขาชนะในเกมลีกในบ้านติดต่อกันมากว่า 22 นัดแล้ว

ขุนพลที่ดีที่สุดจากอคาเดมี่ ลา มาเซีย 

เกิดอะไรขึ้นบ้างกับคลาส ออฟ 2003 – ขุนพลที่ดีที่สุดจากอคาเดมี่ ลา มาเซีย 

เราอาจจะได้ยินแต่ คลาส ออฟ ’92 ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่มันเคยมี คลาส ออฟ 2003 ที่เกิดขึ้นโดย บาร์เซโลน่า เช่นกัน ศูนย์ฝึกลา มาเซีย ที่ผลิตเหล่าซูเปอร์สตาร์อย่าง ลิโอเนล เมสซี่, ชาบี้ เอร์นานเดซ และแม้กระทั่ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า  

ดานี่ ปลานเชอเรีย 


ปลานเชอเรีย มักจะเล่นในลีกล่างของสเปน หลังออกจากอคาเดมี่ของ ลา มาเซีย เขาลงเล่นให้กับ บาร์เซโลน่า เบ ภายใต้การคุมทีมของ กวาร์ดิโอล่า ช่วยให้พวกเขาเลื่อนชั่นขึ้นดิวิชั่น 3 ก่อนที่จะย้ายไปในลีกระดับล่างอีกหลายสโมสร โดยตอนนี้เขาแขวนถุงมือแล้ว

โฆเซ่ ฮิโนโฆซ่า 


ฮิโนโฆซ่า เป็นรูมเมทกับ เชส ฟาเบรกาส แต่ทว่าไม่เคยลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของบาร์เซโลน่าเลย เขาได้คุมทีมเยาวชนในแคว้นกาตาลุญญ่าและเล่นให้กับทีม Martinenc ซึ่งเป็นทีมสมัครเล่น

 

เคราร์ด ปิเก้

คงรู้จักกันดี ปิเก้ ตอนนี้ลงเล่นให้กับ บาร์เซโลน่า มากถึง 527 นัดแล้ว และเคยเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4 ปี เขาได้แชมป์มาทุกรายการแล้วทั้ง ลาลีกา, แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูโร และ ฟุตบอลโลก

 

มาร์ค วาลิเอนเต้

วาลิเอนเต้ เป็นกองหลังที่ทำผลงานน่าประทับใจและถูกมอบหมายเป็นกัปตันทีมบาร์ซ่าในระดับเยาวชน แต่ได้เล่นเพียงเกมเดียวเท่านั้นให้กับทีมชุดใหญ่ เขาผ่านการลงเล่นกับหลายสโมสรทั้ง เซบีญ่า, เรอัล บายาโดลิด ก่อนเข้าร่วมทีม สปอร์ติ้ง กิฆอน ในปี 2019

 

เชส ฟาเบรกาส 

 

ฟาเบรกาส ก็ถือเป็นหนึ่งในผลผลิตที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ ลา มาเซีย หลังย้ายออกจากบาร์ซ่า เขาได้ยอมรับว่าเขาเป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดในโลกที่อาร์เซน่อล ก่อนจะย้ายกลับมาที่คัมป์ นู เพื่อคว้าแชมป์ลาลีกา จากนั้นเขาก็กลับไปอังกฤษเพื่อเข้าร่วมทีมเชลซี และได้แชมป์พรีเมียร์ลีกที่นั่น ก่อนเข้าร่วมทีมโมนาโกเมื่อปีที่แล้ว


โรเกร์ กิริเบต์

 

กิริเบต์ เซ็นสัญญากับ บาร์ซ่า ในวันเดียวกับ เมสซี่ แต่น่าเศร้าที่อาชีพของเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จเหมือนกับดาวยิงอาร์เจนติน่า กองหลังชาวสเปนไม่สามารถสอดแทรกขึ้นชุดใหญ่ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในอาชีพค้าแข้งกับลีกล่าง โดยปัจจุบัน กิริเบต์ ค้าแข้งกับทีมในลีกดิวิชั่น 6 ของสเปน

 

ลิโอเนล เมสซี่ 

คงไม่จำเป็นต้องสาธยายความยอดเยี่ยมเมสซี่แล้วมั้ง เขาเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลและได้สร้างสถิติน่าทึ่งมากมาย เจ้าของบัลลงดอร์ 6 สมัย ได้แชมป์ระดับเมเจอร์ 35 สมัย ยิงได้ 637 ประตูจากการลงสนาม 626 นัด ให้กับ บาร์ซ่า 

 

ฟร้องค์ ซองโก้

 

ซองโก้ ไม่เคยลงเล่นที่ บาร์ซ่า แต่ได้ย้ายไปเล่นในพรีเมียร์ลีกเมื่อปี 2005 เมื่อเขาเข้าร่วมทีม ปอร์ทสมัธ ก่อนโยกย้ายอีกหลายครั้งกับ บอร์นมัธ, เปรสตัน, คริสตัล พาเลซ และ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ เช่นเดียวกับการกลับมาเล่นในสเปนอีกครั้งกับ เรอัล ซาราโกซ่า และ อัลบาเซเต้ ก่อนที่จะย้ายไปโกยเงินที่ ปอร์ทแลนด์ ทิมเบอร์ส ซึ่งเขาแขวนสตั๊ดไปในปี 2014

ฆูลิโอ เด ดิออส โมเรโน่

 

นี่คืออีกหนึ่งกองกลางที่ไม่เคยก้าวไปถึงระดับท็อป หลังย้ายออกจาก บาร์ซ่า ด้วยวัย 20 ปี โมเรโน่ก็ไปอยู่ทีมลีกล่างของสเปน โดยปัจจุบันเขาอยู่ค้าแข้งกับ บียาร์รูเบีย ทีมระดับดิวิชั่น 3 ของสเปน

 

ปิตู 


ปิตู เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่ทำผลงานได้น่าประทับใจในระดับเยาวชน แต่กลับไม่สามารถสอดแทรกขึ้นชุดใหญ่ได้ เขาย้ายออกจากบาร์ซ่าเพื่อเล่นให้กับ เรอัล มายอร์ก้า เบ ก่อนพเนจรย้ายไปเล่นให้ทีมลีกล่าง โดยปัจจุบันเขาอยู่ค้าแข้งกับ เซร์ดานโยล่า ทีมดิวิชั่นที่ 4 ของสเปน

 

ฆวนโฆ่ เคลาซี่

 

เคลาซี่ เป็นผู้รับสัมปทานลูกเซตพีซของบาร์ซ่าชุดเยาวชนทั้งหมด ก่อนหน้า เมสซี่ และ ฟาเบรกาส เสียอีก แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขามีเหนือคู่ เขาย้ายออกจากสโมสรในขณะที่ยังเด็กมาก ๆ และเป็นแข้งพเนจรคนนึงด้วยการผ่านประสบการณ์ลงเล่นให้กับ 15 ทีม โดยตอนนี้เขาอยู่ที่ ปาเตร์น่า ทีมดิวิชั่นที่ 4 ของสเปน

 

ใครจะเป็นแชมป์ยุโรป

 ใครจะเป็นแชมป์การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 2020

ซึ่งครั้งนี้รอบสุดท้ายจะจัดกันที่ประเทศโรมาเนียโดยจะมีการแข่งขันตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายนถึง 12 กรกฎาคมกลางปีนี้ โดยการแข่งขันจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 สายสายละ 4 ทีมรวมทั้งสิ้น 24 ทีมด้วยกัน ทีมทั้งหมดจะผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้ายมาจนมาแข่งที่ประเทศโรมาเนียซึ่งแค่การจับฉลากนี้ ก็สร้างความฮือฮาให้กับผู้ชมฟุตบอล เพราะผลการจับสลากที่ผ่านมาเกิดการกรุ๊ปออฟเดธขึ้นเพราะ 3 ทีมไม่ว่าจะเป็นเยอรมันนีแชมป์เก่าสามสมัย หรือฝรั่งเศสแชมป์โลกปีล่าสุดและโปรตุเกสแชมป์เก่าเมื่อครั้งที่แล้วได้รวมตัวกันอยู่ใน Group of death

ซึ่งทำให้กรุ๊ปนี้ผู้ชมต่างเฝ้ารอคอยและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งกรุ๊ปอื่นๆยังมียอดทีมจากทั่วยุโรปไม่ว่าจะเป็นอิตาลี เบลเยี่ยม อังกฤษ ฮอลแลนด์และสเปนซึ่งทุกๆทีมต่างตบเท้าเข้ารอบสุดท้ายกันมาด้วยกันทั้งหมด หากว่ากันตามเนื้อผ้าแล้วทีมที่มีโอกาสจะเป็นแชมป์มากที่สุดและถูกยกให้เป็นเต็ง 1 กับการแข่งขันฟุตบอลยุโรปครั้งนี้กลับกลายเป็นทีมชาติอังกฤษ ซึ่งต้องบอกว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงเพราะทีมชาติอังกฤษอยู่ร่วมสายกับโครเอเชียและสาธารณเช็คซึ่งต้องบอกตามตรงว่าศักยภาพของ 2 ทีมนี้ยังไม่สามารถสู้ทีมชาติอังกฤษในยุคปัจจุบันได้

ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ทีมชาติอังกฤษของแกเร็ธเซาธ์เกตจะมีโอกาสตบเท้าเข้าสู่รอบลึกๆและมีโอกาสคว้าแชมป์ที่แผ่นดินโรมาเนีย ส่วนอีกหนึ่งทีมที่น่าจับตาจับตามองเป็นอย่างยิ่งนั่นก็คือทีมชาติเบลเยี่ยมเพราะขุนพลทีมชาติเบลเยียมของ roberto martinez ถือว่าไม่ธรรมดาทีเดียว เพราะนำทัพด้วยผู้เล่นอย่าง อาซาร์ ยอด Play maker จากทีม Real Madrid และเควินเดอบอยยอดเพลย์เมกเกอร์จากแมนเชสเตอร์ซิตี้ ซึ่งถือว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของทีมชาติอังกฤษยุคนี้ และถ้ามองกันจริงๆแล้วมีโอกาสเหลือเกินที่อังกฤษและเบลเยียมจะเข้าชิงกันเองในฟุตบอลยุโรปรอบสุดท้ายครั้งนี้

ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของวงการฟุตบอลเพราะทั้งสองทีมนี้ถูกขึ้นชื่อว่าเคยเป็นยักษ์หลับและกำลังจะตื่นในไม่ช้านี้ เพราะอดีตที่ผ่านมาฟุตบอลยุโรปถูกบดบังด้วยรัศมีของทีมชาติเยอรมันและทีมชาติสเปน จึงทำให้แฟนบอลรุ่นใหม่มักจะไม่ค่อยรู้จักทีมชาติเบลเยียมหรือทีมชาติอังกฤษเท่าไหร่นะถ้าไม่นับแฟนบอลที่มาจากพรีเมียร์ลีก ซึ่งถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง

เบลเยี่ยมได้เข้าชิงกับทีมชาติอังกฤษเราจะมาลองดูกันว่าระหว่างยอดกุนซือ benitez กับยอดกุนซือแกเร็ธเซาธ์เกตใครจะสามารถพาลูกทีมของเขาขึ้นเถลิงบัลลังก์แชมป์ให้กับทีมชาติตัวเองได้