หมอฟ้องลูกคนไข้ หยุมหัวกระชากจนผลร่วง เพราะไม่พอใจรักษาแม่ 

เมื่อวันที่ 18 เดือนมกราคม ปี พ.ศ 2567  ได้มีคุณหมอท่านหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง  ของจังหวัดจังหวัดหนึ่งที่อยู่ในเขตภาคใต้ได้ออกมาโพสต์เล่าเรื่องราวของตนเองผ่านทางโลกออนไลน์แชร์ประสบการณ์ที่ได้มีการฟ้องร้องคนไข้จนสุดท้ายศาลก็มีคำพิพากษาให้คุณหมอเป็นฝ่ายชนะ 

สำหรับเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อคุณหมอได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่โรงพยาบาลแห่งนี้มาเป็นระยะเวลา 3 เดือน 

โดยเหตุการณ์เริ่มขึ้นในเย็นวันหนึ่ง  เมื่อคุณหมอต้องรับหน้าที่ดูแลออกตรวจผู้ป่วยนอก   ซึ่งได้มีผู้ป่วยเพศหญิงรายหนึ่ง  มารักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลโดยแจ้งว่ามีอาการเหนื่อย 

ซึ่งในระหว่างนั้นคุณหมอเป็นคนรับหน้าที่ในการซักประวัติคนไข้เนื่องจากว่าคอมพิวเตอร์ของทางโรงพยาบาลมีปัญหา  ผู้ช่วยพยาบาลจึงได้มีการนำคนไข้เข้ามาพูดคุยกับคุณหมอในห้องตรวจโดยตรงเลย 

ในระหว่างที่คุณหมอกำลังซักประวัติการรักษากับคนไข้ว่ามีอาการเหนื่อยมาตั้งแต่เมื่อไหร่  แต่คนไข้ไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการตอบ ซึ่งสุดท้ายสามารถสรุปได้ว่าคนไข้มีอาการเหนื่อยหอบมาเป็นเดือนแล้วแต่ที่ไม่มารักษาที่โรงพยาบาลเนื่องจากว่าไม่ชอบเวลาที่มีการถูกซักถามอาการ 

ซึ่งในระหว่างนั้นเองลูกสาวของคนไข้ที่อายุประมาณ 20 กว่าๆก็ได้ด่าคุณหมอขึ้นมาเพราะไม่พอใจที่คุณหมอซักประวัติแม่ของตนเองเยอะมากจนเกินไป 

นอกจากลูกสาวคนไข้จะด่าทอคุณหมอแล้วยังได้เข้ามาทำร้ายร่างกายด้วยการดึงผมถึงแม้ว่าจะมีพยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลเข้ามาห้ามก็ไม่เป็นผล  ซึ่งกว่าจะแยกลูกสาวคนไข้ออกจากหมอได้ก็ทำให้คุณหมอได้รับบาดเจ็บค่อนข้างเยอะจึงได้มีการตรวจร่างกายถ่ายภาพ

เพื่อนำไปแจ้งความ เนื่องจากคุณหมอมองว่าิิหากคนไข้ไม่พอใจที่จะให้คุณหมอรักษาอาการป่วยของแม่ตนเองคนไข้สามารถมีสิทธิ์ที่จะขอเปลี่ยนหมอในการรักษาได้แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาทำร้ายคุณหมอ 

อย่างไรก็ตามหลังจากที่คุณหมอได้มีการแจ้งความ  ก็ได้พยายามที่จะมีการโทรไปพูดคุยเพื่อทำการไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีแต่ปรากฏว่าคู่กรณีไม่ยอมพูดคุยด้วย

จนในที่สุดคุณหมอจึงได้มีการส่งเรื่องไปที่ชั้นศาลและ ศาลก็ได้ตัดสินออกมาว่าลูกสาวคนไข้นั้นมีความผิดในคดีอาญาและต้องเสียค่าปรับ  

คุณหมอได้มีการโพสต์ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า   ในตอนแรกหมอจะแจ้งความทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาแต่เห็นว่า ญาติคนไข้ได้รับโทษและน่าจะรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วจึงได้ตัดสินใจฟ้องแค่คดีอาญาเท่านั้น 

และถ้าหากใครที่ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลและไม่พอใจแพทย์ที่รักษาสามารถแจ้งเปลี่ยนแพทย์ได้เพราะเป็นสิทธิ์ของคนไข้  ไม่จำเป็นที่จะต้องมาทำร้ายกันจนเสียอนาคตแบบนี้

 

ได้รับการสนับสนุนโดย    กินโปรตีนเชคยังไงให้ผอม

วางยาพิษในจิมิ หวังฆ่าผัว 

เว็บไซต์ ETToday ได้มีการเปิดเผยเรื่องราวสุด แปลกที่ได้เกิดขึ้นกับสามีภรรยาคู่หนึ่งโดยทั้งคู่นั้นเป็นชาวบราซิล   โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อภรรยาต้องการที่จะหย่ากับสามีแต่ไม่ว่าเธอจะชวนสามีไปหย่ากันสักกี่ครั้งสามีก็ให้การปฏิเสธอยู่เสมอทำให้ฝ่ายภรรยาไม่พอใจ  ดังนั้นภรรยาจึงได้ตัดสินใจวางแผนการร้ายขึ้นมา 

สำหรับแผนการดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อภรรยาได้ชักชวนสามีให้มีเซ็กส์กันและเธอได้ร้องขอให้สามีของเธอนั้นช่วยทำออรัลเซ็กส์ให้ซึ่งสามีของเธอก็ไม่ได้มีการปฏิเสธแต่ระหว่างที่กำลังจะทำให้สามีของเธอได้กลิ่นแปลกๆมาจากจิมิของภรรยาของตนเอง

และด้วยความเป็นห่วงภรรยาเกรงว่าภรรยาจะเป็นโรคร้ายแรงอะไรจึงได้ตัดสินใจยุติกิจกรรมทันทีและพาภรรยาไปโรงพยาบาลเพื่อไปตรวจอาการอย่างเร่งด่วน

อย่างไรก็ตามเมื่อไปถึงโรงพยาบาลแพทย์ได้มีการวินิจฉัยว่าบริเวณจิมมี่ของภรรยาของชายรายนี้นั้นได้มียาพิษถูกนำมาป้ายเอาไว้และกลิ่นที่สามีได้กลิ่นนั้นก็เป็นกลิ่นของยาพิษนั่นเองและเมื่อตรวจสอบไปที่บริเวณช่องคลอดของฝ่ายหญิงก็พบว่ามียาพิษอยู่ภายในช่องคลอดอีกเป็นจำนวนมาก

ซึ่งสุดท้ายแล้วฝ่ายหญิงก็ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้นำยาพิษมาป้ายบริเวณจิมิของตนเองโดยต้องการที่จะให้สามีถูกพิษที่เธอนำมาทาเอาไว้เพราะไม่พอใจที่สามีไม่ยอมอย่าให้สักที

เบื้องต้นฝ่ายหญิงต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วนเนื่องจากว่ายาพิษที่มีการป้ายไว้บริเวณจิมิและช่องคลอดนั้นส่งผลทำให้ร่างกายของฝ่ายหญิงนั้นมีการดูดซับพิษและส่งผลถึงอันตรายแก่ความตายได้เนื่องจากว่าบริเวณช่องคลอดนั้นเป็นบริเวณที่เยื่อหุ้มด้านในสามารถดูดซับสารต่างๆได้ดี

ดังนั้นเมื่อมียาพิษไปใต้บริเวณดังกล่าวจึงทำให้ร่างกายดูดซับสารพิษได้ดีนั่นเอง  ในขณะเดียวกันทางฝ่ายสามีเองก็กำลังเตรียมเอกสารเพื่อทำการฟ้องร้องภรรยาของตนเองในข้อหาที่ภรรยานั้นพยายามฆ่าเขาด้วยสารพิษ 

สำหรับเรื่องราวของครูสามีภรรยาชาวบราซิลนี้  เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าหากว่า ทั้งคู่มีการพูดคุยตกลงกันด้วยดีซึ่งถ้าหากทั้งคู่อยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข  โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการที่จะไปก็ไม่ควรที่จะรั้งอีกฝ่ายเอาไว้เพราะถึงแม้อยู่ไปก็จะไม่มีความสุขทั้งคู่  และเหตุการณ์ฆาตกรรมแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน 

อย่างไรก็ตามสำหรับฝ่ายหญิงนั้นถ้าหากฝ่ายชายไม่ยอมอย่าขาดให้เมื่อมีการพูดคุยกันอยู่หลายครั้งก็สามารถที่จะติดต่อทนายความเพื่อทำการฟ้องศาลเพื่อทำเรื่องขอหย่าได้ไม่ควรที่จะดับอนาคตของตนเองด้วยการคิดจะฆ่าฆาตกรรมสามีของตนเองด้วยยาพิษแบบนี้ 

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    alpha88 ทางเข้า

ชาวบ้านกลัวโควิด-19 ป่วยแล้วไม่ยอมไปโรงพยาบาล

ชาวบ้านกลัวโควิด-19 ป่วยแล้วไม่ยอมไปโรงพยาบาลทำให้เสียชีวิตจากลำไส้ติดเชื้อ

           จังหวัดอุทัยธานี  หมู่บ้านภูเหม็น  มีสมาชิกในหมู่บ้านอยู่ประมาณ 200 ครัวเรือน ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านของชาวกะเหรี่ยงเมื่อไม่นานมานี้มีเหตุการณ์คนในหมู่บ้านจำนวนไหลคนมีอาการท้องเสียอย่างฉับพลันแต่ทุกคนไม่กล้าที่จะไปหาหมอเนื่องจากว่าต่างคนก็คิดว่าที่โรงพยาบาลจะต้องมีผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าและถ้าหากไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลก็อาจจะรับเชื้อไวรัสโคโรน่ามาจากที่โรงพยาบาลได้ดังนั้นหลายคนจึงมีการรักษาตนเองด้วยการออกป่าไปหาสมุนไพรมาต้มกินเพื่อที่จะให้บรรเทาอาการท้องร่วงเฉียบพลันนี้แต่ผลปรากฏพบว่ามีผู้ป่วยรายหนึ่งอายุเพียงแค่ 1 ขวบเท่านั้นมีการกินยาต้มเข้าไปแล้วเกิดอาการเสียชีวิตโดยสาเหตุของการเสียชีวิตนั้นแพทย์แจ้งว่าลำไส้มีการติดเชื้อ 

       จากเหตุการณ์ที่ชาวกะเหรี่ยงในจังหวัดอุทัยธานีท้องเสียในครั้งนี้ทางนักข่าวได้มีการลงพื้นที่ไปสอบถามข้อมูลโดยทางชาวกะเหรี่ยงแจ้งข้อมูลว่าส่วนใหญ่คนที่ท้องเสียนั้นจะเป็นเด็กๆในหมู่บ้านแล้วพ่อแม่ก็กลัวที่จะพาลูกไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพราะมีเชื้อไวรัสโคโรนาอยู่ดังนั้นจึงได้มีการหายามาให้กินกันเองโดยผู้ปกครองส่วนใหญ่จะไปหาเปลือกโดนฝรั่งแล้วก็เปลือกมะขามมาต้มผสมกับน้ำให้เด็กๆกิน ซึ่งเด็กบางคนที่กินยาต้มเข้าไปก็หายแต่บางคนก็มีอาการหนักกว่าเดิมและมี 1 คนที่เสียชีวิตลงโดยคาดการณ์กันว่าน่าจะเสียชีวิตจากการกินยาหม้อที่พ่อแม่นำมาต้มให้แต่ว่ายาดังกล่าวอาจจะไม่สะอาดจึงทำให้เด็กกินเข้าไปแล้วไม่สบายมากขึ้นกลายเป็นติดเชื้อในกระแสเลือดและทำให้เสียชีวิต

       จากเหตุการณ์ในครั้งนี้เชื่อว่าไม่ใช่เฉพาะชาวหมู่บ้านภูมินทร์เท่านั้นที่กลัวเวลาที่จะไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลว่าจะมีการติดเชื้อไวรัสมาจากทางโรงพยาบาลเชื่อว่าทุกๆที่ก็กลัวเช่นเดียวกันแต่หากว่าเรามัวแต่กลัวแล้วไม่พาตัวเองหรือว่าบุตรหลานไปรักษาตัวก็อาจจะเสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆโดยเชื้อไวรัสโคโรน่านั้นทางโรงพยาบาลได้มีการป้องกันและเฝ้าระวังไม่ให้มีการแพร่เชื้ออย่างเต็มที่อยู่แล้วหากเรามีความจำเป็นป่วยไข้จริงๆก็ควรไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลไม่ควรหายามากินกันเองเพราะยิ่งจะทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิม 

การกลัวติดเชื้อไวรัสโคโรน่านั้นทุกคนกลัวได้แต่การที่กลัวมากจนเกินไปก็ไม่เป็นผลดีกับตนเองเช่นเดียวกันเพราะจริงๆแล้วเบื้องต้นเราสามารถป้องกันได้ด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยและล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอส่วนการไปที่โรงพยาบาลนั้นทางโรงพยาบาลเองก็จะมีการพ่นยาฆ่าเชื้อเป็นประจำอยู่แล้วเพราะทางโรงพยาบาลเองก็ต้องมีการรักษาความสะอาดเพื่อป้องกันหมอและพยาบาลที่จะติดเชื้อด้วยเช่นเดียวกันดังนั้นเราจึงไม่ควรหวาดระแวงว่าจะติดเชื้อมากจนเกินไปเพราะจะทำให้เกิดความสูญเสียเหมือนอย่างในครั้งนี้ได้

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  ทางเข้า UFABET ภาษาไทย