ดราม่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจับคนมาแจกโจ๊กยังไม่จบ

            ยังเป็นกระแสร้อนแรงไม่จบจากกรณีที่มีพลเมืองดีต้องการช่วยเหลือชาวบ้านด้วยกันที่จังหวัดนครปฐมออกมาทำอาหารแจกชาวบ้านในช่วงเย็นเป็นประจำทุกวันซึ่งเธอบอกกล่าวกับทางนักข่าวว่าเธอทำแบบนี้มาแล้ว 6 วันและวันนี้คือเข้าวันที่ 7 ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับกุมและยึดถุงโจ๊กทั่วไปจำนวน 250 ถุงโดยภายหลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจโจ๊กของเธอไปนั้น

ได้นำเจ้าของเธอไปให้กับทางเจ้าหน้าที่ขับรถตะเวนแจกให้กับชาวบ้านซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับเจ้าของโจ๊กเป็นอย่างมากโดยเธอมองว่าคนที่มายืนต่อแถวรอการรับโจ๊กจากเธอนั้นมีมากมายเกือบ 300 ชีวิตพวกเขาเหล่านั้นต้องมายืนรอเข้าแถวเพียงแค่ต้องการโจ๊กถุงเดียวเพื่อไปประทังชีวิตแต่พวกเขากลับไม่ได้รับโจ๊กในขณะที่ทางเทศบาลนำโจ๊กของเขาไปแจกจ่ายประชาชนที่อยู่ตามบ้านเรือนทำให้เจ้าของโจ๊กรู้สึกเสียใจมากเพราะเขาสงสารคนที่ต้องเดินทางออกมาจากบ้านเพียงแค่ต้องการจะมารับโจ๊กที่มีคนนำบริจาคให้ ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้หลังจากที่ทางเทศบาลมีการบริจาคโจ๊กให้กับชาวบ้าน

ก็ได้มีการถ่ายรูปนำไปโพสต์ในเพจของเทศบาลเองหลังจากที่ประชาชนทราบข่าวชาวโซเชียลต่างก็พากันไปถล่ม Page ของเทศบาลเพราะทุกคนต่างก็ไม่พอใจกับวิธีการที่เทศบาลและที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำหลายคนมองว่าจากรูปภาพที่ลูกสาวของหญิงพลเมืองดีที่นำโจ๊กมาบริจาคให้กับชาวบ้านนั้นถ่ายลงสื่อโซเชียลจะเห็นได้ว่าชาวบ้านแต่ละคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการที่ยืนรอเว้นระยะห่างกันประมาณเมตรถึง 2 เมตรโดยยังมีภาพของลูกสาวของเจ้าของโจ๊กคอยวัดอุณหภูมิไข้และเทเจลล้างมือให้กับชาวบ้านที่มีรอรับโจ๊ก

ซึ่งจะเห็นได้ว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ได้เป็นการรวมกลุ่มกันจนเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อได้ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะมีการผิด  พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ในเรื่องของการรวมตัวกันของประชาชนแต่ในสถานการณ์แบบนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่เทศบาลควรจะมีความเห็นอกเห็นใจกับชาวบ้านที่อุตส่าห์ออกมารอรับของบริจาคทั้งๆที่อากาศร้อนโดยอาจจะอนุโลมให้ในครั้งนี้แทนที่จะยึดของกลางแล้วนำไปบริจาคเองที่สำคัญที่ดราม่ายังคงร้อนแรงอยู่เนื่องจากว่าลูกสาวของเจ้าของถุงโจ๊กนั้นได้แจ้งกับทางสื่อโซเชียลว่าคุณแม่ของเธอกำลังจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเกี่ยวกับการทำผิด พ.ร.ก. ฉุกเฉินเนื่องจากนำของมาแจกในครั้งนี้อีกด้วย

ซึ่งเธอมองว่าการที่คนมีจิตใจดีต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแต่กลับจะต้องมาโดนฟ้องร้องแบบนี้นั้นถือว่าไม่แฟร์ เป็นอย่างมากซึ่งหลายคนมองว่าหากการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้วต้องมาโดนคดีความแล้วจะมีคนดีที่ไหนอยากจะออกมาช่วยเหลือคนอื่น

 

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนันบอลฝากขั้นต่ำ 100

ตลึงหนักมาก สาวติดไวรัสโควิด-19

ตลึงหนักมาก สาวติดไวรัสโควิด-19  ทั้งที่อยู่บ้านตลอด ตรวจสอบเชื้อไวรัสมาจากถุงใส่ของตอนสั่ง เดลิเวอรี่

            มีรายงานข่าวต่างประเทศซึ่งมาจากประเทศซึ่งมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมารายงานว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่าราเชลเธอได้ออกมาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุผลที่เธอต้องติดเชื้อไวรัสโควิด-19ทั้งที่ตัวเธอเองนั้นอยู่แต่กลับบ้านตลอด    ซึ่งเธอยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประมาณ 3 อาทิตย์เธอไม่เคยเดินทางออกจากนอกบ้านของเธอเลยแต่เธอกลับตรวจพบว่าเธอติดเชื้อไวรัสโควิด-19

ซึ่งเหตุผลที่เธอติดเชื้อไวรัสนั้นมาจากถุงที่ใช้ใส่สินค้าเวลาที่เธอสั่งของเดลิเวอรี่มาส่งที่บ้านเธอเชื่อว่าอาสาสมัครที่นำของมาส่งนั้นน่าจะติดเชื้อไวรัสโควิด-19แล้วจับถุงแต่สิ่งของมาส่งให้เธอโดยที่พวกเขาไม่ได้สวมถุงมือป้องกันการติดเชื้อหรือการแพร่เชื้อทำให้ตัวเองถึงแม้ว่าจะอยู่ในบ้านซึ่งถือว่าจะมีความปลอดภัยอย่างมากแต่ทำให้ติดเชื้อได้ โดยราเชล  ได้กล่าวว่าสำหรับตัวเธอนั้นสุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้วเนื่องจากเธอมีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ซึ่งถือได้ว่าร่างกายของเธอมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่ายมาก

ดังนั้นเธอจึงหาข้อมูลวิธีการดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19มาโดยตลอดทั้งดูข้อมูลจากทางอินเทอร์เน็ตและยังขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้โดยตรงซึ่งเธอปฏิบัติตามทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัดเธอเองใส่หน้ากากอนามัยล้างมือตลอดเวลากับตนเองอยู่แต่ในบ้านโดยเธอไม่ติดต่อโลกภายนอกเลยซึ่งเธอจำได้ว่าตลอดระยะเวลา 3 อาทิตย์ที่เธอกลับตัวอยู่บ้านนั้นเธอออกจากบ้านไปแค่ครั้งเดียว

เพื่อไปซื้อยาและที่สำคัญถึงแม้จะอยู่ในบ้านเธอก็ยังมีการดูแลตัวเองอย่างเต็มที่ด้วยการเว้นระยะห่างระหว่างกันซึ่งเธอและสามีของเธอก็นอนกันคนละห้องเป็นการชั่วคราวเพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองติดเชื้อไวรัสโดยเธอมีการย้อนข้อมูลตั้งแต่เธอกักตัวเองอยู่ในบ้านก็คือเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 เดือนมีนาคมเธอเดินทางออกนอกบ้านครั้งเดียวนั่นคือตอนไปซื้อยาซึ่งเป็นวันที่ 18 มีนาคมหลังจากนั้นเธอก็อยู่แต่บ้านตลอดดังนั้นผู้คนที่เธอสัมผัสและพบเธอด้วยก็จะมีแค่เพียงเภสัชกรที่ร้านขายยา 

สามีของเธอเองที่อยู่ที่บ้านร่วมกัน   และอาสาสมัครที่นำอาหารมาส่งให้เธอซึ่งแน่นอนว่าสามีของเธอไม่ได้ป่วยติดเชื้อและเภสัชกรเองก็ไม่ได้ป่วยติดเชื้อ  แต่เมื่อไม่นานนี้อาสาสมัครที่นำถุงอาหารมาส่งที่บ้านเธอนั้นตรวจพบว่ามีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19จึงทำให้หลังจากนั้นแค่เพียงสองวันเธอก็เริ่มมีอาการไม่สบายและอาการก็เริ่มรุนแรงขึ้น

ซึ่งตรงกับอาการของผู้ป่วยไวรัสโควิด-19  เธอจึงได้เดินทางไปตรวจร่างกายช่วยตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 และในที่สุดเธอก็พบว่าตนเองนั้นป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19จริงๆซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้สามารถเป็นอุทาหรณ์ให้กับหลายๆคนที่มีการสั่งซื้อของออนไลน์ให้มาส่งที่บ้านว่าหากจะรับของควรจะมีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อไปที่ถุงของนั้นก่อนหรือควรจะใช้ถุงมือในการจับของ

 

สนับสนุนโดย  www.ufa168.co ลิงค์เข้าใช้งานค่ะ

เด็กนักเรียนมัธยมปาดคอเพื่อน

        สำหรับเหตุการณ์ที่กำลังเป็นที่สนใจของคนในสังคมกันอย่างกว้างขวางนั้นคงหนีไม่พ้นเหตุการณ์ที่เด็กนักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานีก่อเหตุเอาปากขวดปาดคอเพื่อนด้วยกันในโรงเรียน ซึ่งต่อมามีการสืบพบว่าโรงเรียนดังกล่าวคือโรงเรียนปทุมวิไล ซึ่งทาง ผอ. ของโรงเรียน ดร. เอกพรต สมุทธานนท์ ได้ออกมายืนยันแล้วว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงในโรงเรียนและเหตุการณ์ก็เป็นไปอย่างที่มีข่าวลงเพียง

แต่เรื่องของการทำโทษเด็กและการห้ามนำภาพไปเผยแพร่นั้นทางโรงเรียนมีเหตุผล ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางผู้ปกครองชองเด็กทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเจรจาไกล่เกลี่ยกันเรียบร้อยแล้วและไม่ได้ติดใจอะไร ส่วนที่โรงเรียนไม่ลงโทษเด็กที่ทำความผิดก็เพราะว่า เด็กคนนี้มีประวัติรักษาอาการทางจิตมาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมต้นแล้ว

ซึ่งทางโรงเรียนก็ทราบ และทราบมาว่าเด็กมีการักษาตัวอยู่กับทางโรงพยาบาล คาดว่าวันเกิดเหตุเด็กอาจไม่ได้ทานยามา จึงทำให้มาก่อเหตุดังกล่าว แต่ก่อนหน้านั้นเด็กคนนี้ก็ไม่ได้เคยทำร้ายใครมาก่อนและคุณครูที่โรงเรียนจะมีการดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ

ซึ่งในขณะนี้เด็กที่ก่อเหตุอยู่ในความดูแลของแพทย์ ทางโรงเรียนไม่ได้สั่งพักการเรียนแต่เป็นการหยุดเพื่อไปรักษาอาการและจะกลับมาเรียนได้เมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับการอนุญาตของแพทย์เจ้าของไข้ ส่วนเรื่องที่บอกกับเด็กไม่ให้ถ่ายรูปแล้วเอาไปโพสต์นั้นเนื่องจากทางโรงเรียนเห็นว่าเด็กทั้งสองคนยังเป็นเยาวชน  ไม่อยากให้มีผลกระทบกับตัวเด็กทั้งสองคนในภายหลังจึงได้ห้ามไป 

       จากการติดตามข่าวที่มีการออกมาบอกกันว่าเด็กที่ปาดคอเพื่อนนั้นมีอาการทางจิตแล้วไม่ได้กินยาจึงมาก่อเหตุดังกล่าว ในโลกออนไลน์ เด็กนักเรียนหลายคนที่อยู่ในโรงเรียนนั้น และเคยโดนผู้ก่อเหตุมาจีบแล้วพอไม่เล่นด้วยก็ด่าและข่มขู่ทำให้เด็กรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยกับการมาเรียนหนังสือหากเด็กที่ก่อเหตุยังคงเรียนหนังสืออยู่ที่นี่

ซึ่งตามความคิดเราในฐานะที่เป็นผู้ปกครองของนักเรียนคนหนึ่ง เราเข้าใจหัวอกของคนที่เป็นพ่อแม่ของเด็กที่ก่อเหตุนะคะว่าอยากให้ลูกเรียนหนังสือไม่อยากให้ย้ายไปที่ไหนเพราะตอนนี้อยู่ชั้น ม. 6 แล้ว อีกแค่ไม่กี่เดือนก็เรียนจบ หากถูกทำโทษเด็กจะเสียอนาคตได้ แต่ถ้าเราอยู่ในฐานะผู้ปกครองของเด็กคนอื่น

เราก็ไม่อยากให้เด็กที่ก่อเหตุยังอยู่ในโรงเรียนนี้ต่อไป ถึงแม้จะออกมาบอกว่าจะพาเข้ารับการรักษาอาการทางจิต แต่ถ้าหากเด็กไม่ยอมกินยาเหตุการณ์แบบนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นอีกได้ แล้วใครจะมารับประกันความปลอดภัยให้กับลูกของเรา ดังนั้นเราอยากให้เด็กรักษาอาการทางจิตให้หายขาดก่อนแล้วค่อยกลับมาเรียนใหม่ดีกว่า

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  สมัคร gclub ไม่มีขั้นต่ำ

กลุ่มธุรกิจที่เสียหายจากผลกระทบของไวรัสโคโรนา

ในปัจจุบันโรคไวรัสโคโรนา ยังเป็นโรคที่อันตรายเพราะยังไม่ยาที่จะรักษาป้องกันได้และนับวันก็ยิ่งระบาดไปทั่วโลก ซึ่งจากเหตุการณ์ในครั้งนี้เองส่งผลให้เศรษฐกิจย่ำแย่ทั่วทั้งเอเชีย เรามาดูกันว่าประเทศไทยมีธุรกิจไหนบ้างที่ได้รับผลกระทบกับไวรัสโคโรนากันบ้าง

  1. ธุรกิจการท่องเที่ยว เนื่องจากโดยปกติแล้วประเทศไทยมักจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อเหตุการณ์ระบาดของไวรัสโคโรนาเกิดขึ้นนักท่องเที่ยวชาวจีนก็ไม่เดินทางมาเที่ยวทำให้สถานการณ์ของธุรกิจการท่องเที่ยวเริ่มซบเซาลง กิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นไกส์นำเที่ยว  บริษัทที่ทำทัวร์  พวกรถเช่า เรือเช่าต่างๆต่างก็ได้ผลกระทบทั้งหมด
  2. กลุ่มโรงแรม รีสอร์ต เพราะหากไม่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวทำให้โรงแรมและรีสอร์ตก็ไม่มีคนเข้าพักอาศัย ทำให้กลุ่มโรงแรมและรีสอร์ตก็ซบเซาเช่นกัน
  3. ห้างสรรพสินค้า แม้แต่ตามห้างก็มีคนเดินเที่ยวน้อยเพราะคนไทยด้วยกันเองต่างก็กลัวที่จะติดโรคไวรัสโคโรนา เพราะต่างก็ไม่วางใจซึ่งกันและกันว่าใครมีเชื้อบ้างดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงต้องป้องกันตัวเองเพราะหน้ากากก็ขาดตลาดดังนั้น ผู้คนส่วนใหญ่จึงไม่ไปในพื้นที่ที่มีคนหนาแน่น
  4. ร้านอาหาร  สำหรับธุรกิจร้านอาหารเองก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันเพราะลูกค้าชาวต่างชาติจะลงไปมาก แถมลูกค้าที่เป็นคนไทยก็ไม่ค่อยมาทานอาหารนอกบ้านเพราะต่างก็ไม่มั่นใจว่าจะมีเชื้อโรคอยู่ในอาหารหรือไม่ ดังนั้นช่วงนี้ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะทำอาหารทานกันเองที่บ้านมากกว่า เพราะต่างก็คิดว่าการออกมาในพื้นที่ที่มีคนเยอะจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนามากกว่า
  5. โรงภาพยนตร์  สำหรับโรงหนังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ว่าคนจะน้อยมากขนาดไหน เพราะโรงหนังเป็นพื้นที่ที่อากาศไม่ถ่ายเท ดังนั้นจึงค่อนข้างเป็นพื้นที่เสี่ยงอย่างมากที่จะติดเชื้อไวรัสโคโรนา หลายคนจึงเลือกที่จะดูรายการทีวีอยู่ที่บ้านมากว่าในช่วงนี้
  6. ธุรกิจนำเข้าและส่งออก ถือว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่มากในขณะนี้เพราะการสั่งสินค้าส่วนใหญ่ทั้งการส่งออกและสั่งเข้าประเทศไทยจะติดต่อค้าขายกับจีนเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์นึ้ขึ้นต่างก็มีการระแวงว่าหากสั่งสินค้าเข้ามาแล้วจะมีเชื้อโรคติดมากับสินค้าด้วยหรือไม่ทำให้ประชาชนระงับการสั่งสินค้าจากจีน 
  7. ธุรกิจสายการบิน  เนื่องจากโรคไวรัสโคโรนากำลังระบาดไปทั่วโลกดังนั้น นักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่จากประเทศจีนก็มีการงดเดินทางมาท่องเที่ยวกันมากขึ้นจึงทำให้ธุรกิจนี้ค่อนข้างเงียบเหงามากในช่วงนี้

 

 

สนับสนุนโดย  ทางเข้า Ufabet168

คดีฆ่าข่มขืน น้องสโนว์ สรุปคำสั่งศาลออกมายืนยันประหารชีวิต

  หลายคนอาจจะยังจะยังคงจำคดีนี้กันได้ เมื่อปี 2558 ที่เป็นข่าวใหญ่โต กรณีที่มีเหตุการณ์เด็กนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6  ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้ถูกคนร้ายตามประกบแล้วถีบรถมอเตอร์ไซต์ของน้องล้มลง เพื่อหวังจะนำตัวของน้องไปข่มขืน แต่ว่าน้องสโนว์ทำการขัดขืนเลยถูกคนร้ายฆ่าตาย ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558  โดยเหตุเกิดวันที่ 23 ธันวาคม  และหลังจากเกิดเหตุการณ์ได้ประมาณ 3 เดือนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถจับตัวคนร้ายได้

ซึ่งคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุก็คือคนในพื้นที่และมีตำแหน่งหน้าที่เป็นถึงผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านที่น้องอยู่ด้วย  โดยเมื่อจับคนร้ายได้ศาลชั้นต้นได้ตัดสินประหารชีวิตและให้จ่ายเงินชดใช้ครอบครัวของผู้เสียชีวิตเป็นเงินสองล้านกว่าบาท แต่ทางอดีตผู้ใหญ่บ้านขอต่อสู้คดี จนมาถึงศาลอุทธรณ์ ซึ่งทางศาลอุทธรณ์ก็ยืนยันตามศาลชั้นต้น

แต่ทางอดีตผู้ใหญ่บ้านก็ยังไม่ยอม ร้องขอสู้คดีต่อ จนมาถึงชั้นศาลฎีกา ซึ่งก็เป็นเหมือนเดิมคือยืนยันที่จะให้ประหารชีวิตคนร้ายและต้องจ่ายเงินค่าชดเชยให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต  ซึ่งจนถึงตอนนี้ทางครอบครัวของน้องสโนว์พอใจกับคำตัดสินของศาลแล้ว และน้องได้รับความเป็นธรรมแล้ว 

ซึ่งเหตุการณ์ที่คนร้ายฆ่าน้องสโนว์นั้นเป็นคดีที่สร้างความสะเทือนใจให้กับคนที่ได้เสพข่าวกันเป็นอย่างมากและใช้เวลาในมากในการจับตัวคนร้ายมาลงโทษได้เพราะคนร้ายเป็นคนที่เข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายได้อย่างดีจึงทำให้มีข้อต่อสู้ออกมามากมาย แต่ก็ยังแพ้พยานหลักฐานจึงเป็นเหตุให้ถูกจับตัวได้ในที่สุด คดีแบบนี้ควรจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับใครหลายหลายคนที่กำลังคิดทำในสิ่งที่ไม่ดี

ให้รู้สึกเกรงกลัวในบาปกรรมและให้รู้ว่าหากทำผิดแล้วต่อให้เก่งกาจแค่ไหน หรือมีอิทธิพลมากมายเพียงใดก็จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายด้วยกันทุกคน ถึงอย่างไรทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะสามารถนำตัวคนทำความผิดมาลงโทษให้ได้อยู่แล้วไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายไปได้แน่นอน  จากข่าวนี้จะเห็นได้ว่าผู้เสียชีวิตเป็นเด็กผู้หญิงอายุแค่เพียง 18 ปีเท่านั้นเอง

และน้องกำลังจะมีอนาคตที่สดใส แต่น้องต้องมาเจอกับคนร้ายที่เป็นคนค้นเคยกันดี และไม่คิดว่าจะมีความคิดทำร้ายน้องได้ถึงขนาดทำให้น้องตายได้ถึงขนาดนี้ ดังนั้นสิ่งที่อดีตผู้ใหญ่บ้านถูกตัดสินให้ประหารชีวิตนั้นจึงเป็นการตัดสินที่สำเหตุสมผลมากแล้ว และที่จริงก็ไม่ควรที่จะลดโทษให้กับกลุ่มคนที่ทำร้ายคนอื่นถึงแก่ความตายได้แบบนี้เพราะหากปล่อยออกมาสู่สังคมภายนอกอีกก็อาจจะกลับมาทำร้ายคนอื่นได้อีก

 

 

สนับสนุนโดย  ae sexy

ปัญหาเด็กถูกทำร้ายในโรงเรียนประเทศไทยติดอันดับที่ 4 ของโลก

  ในแต่ละปีจะมีเด็กนักเรียนที่ถูกทำร้ายและรังแกในโรงเรียนมากถึงปีละหกแสนคนเลยทีเดียวและในขณะเดียวกันยอดดังกล่าวก็มีแนวโน้มว่าจะมีการเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยเรื่อยอีกด้วย ทั้งนี้เด็กนักเรียนที่ถูกรังแกและถูกทำร้ายในโรงเรียนมีจำนวนมากกว่า 40 % เลยทีเดียวและจากผลการสำรวจจากทั่วโลกประเทศไทยถือเป็นประเทศที่เด็กถูกรังแกในโรงเรียนมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลกเลยก็ว่าได้

ซึ่งจากข้อมูลที่กล่าวมานี้จึงมีหลายหน่วยงานได้ออกมาหาแนวทางวิธีป้องกันปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง เพราะถือว่ายอดสำรวจที่ได้รับมานั้นเป็นยอดที่สูงมาก ปัญหาเด็กถูกรังแกในโรงเรียนนี้เป็นปัญหาที่ทั่วโลกควรจะรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วน การรังแกนั้น จะรวมถึงการล้อเพื่อน การตบตีทำร้ายเพื่อน และการแกล้งเพื่อนทั้งหมด ซึ่งเราต้องมาหาสาเหตุว่าเหตุใดเพื่อนเพื่อนจึงมีการแกล้งกันและล้อกัน หรือมีเรื่องตบตีกันในโรงเรียน เพื่อที่จะได้หาแนวทางป้องกันปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้น เพราะในปัจจุบันหากมีการติดตามข่าวจะเห็นได้ว่า การล้อกันเล่น หรือการแกล้งกันเล่น ไม่ใช่เรื่องเล็กเล็กอีกต่อไปแล้ว

เพราะเด็กจะมีความเก็บกดและนำมาออกซึ่งการตอบโต้แบบรุนแรง ดังที่เรามักจะได้เห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเด็กทำร้ายกัน หรือยกพวกตีกันและที่เลวร้ายที่สุดคือเด็กนำเอาอาวุธปืนของพ่อแม่ มาฆ่าเพื่อนถึงในโรงเรียน ซึ่งการก่อเหตุแบบนี้ไม่ได้มีแค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น  เรามักจะพบปัญหาแบบนี้มากขึ้นเรื่อยเรื่อยซึ่งไม่ได้เป็นผลดีต่อเด็กและผู้ปกครองเลย

การที่เด็กถูกรังแกนั้นปัจจุบันไม่ได้ เป็นการรังแกกันเฉพาะเด็กกับเด็กเท่านั้น ตอนนี้ก็มีหลายครั้งที่เป็นข่าวว่าคุณครูรังแกและทำร้ายเด็ก หลายครั้งที่สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ปกครองเพราะครูทำโทษเด็กเกินกว่าเหตุจนเกินไป ดังนั้นทุกหน่วยงานจึงต้องหันหน้ามาปรึกษาหารือกันว่าจะสามารถลดปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร ทั้งจากที่คุณครูเป็นผู้กระทำและจากเด็กด้วยกันกระทำด้วยกันเอง

ในช่วงนี้ทางกระทรวงหน่วยงานต่างๆจึงได้จัดหากิจกรรมที่จะมาให้เด็กเด็กได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อฝึกนิสัยให้เด็กเด็กรักและสามัคคีกันโดยหวังว่ากิจกรรมที่จัดขึ้นมานั้นจะสามารถช่วยลดปัญหาการรังแกกันในโรงเรียนได้ ส่วนปัญหาที่ครูรังแกนักเรียนนั้น อาจจะต้องมีการคัดกรองคนที่จะมาสอบเป็นครูให้ละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้นอาจจะต้องมีการนำจิตแพทย์มาทดสอบระบบจิตใจของคนที่จะมาเป็นครูก่อนที่จะบรรจุรับเข้าทำงานครูเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว

 

สนับสนุนโดย  ทางเข้า ยูฟ่าเบท มือถือ

หญิงมาเลเซียป่วยเป็นมะเร็งแล้วยังต้องมาเสียใจเพราะจับได้สามีนอกใจ

           หญิงสาวชาวมาเลเซียอายุ 44 ปีรายหนึ่งได้มีการโพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คของตัวเองระบายความเศร้าเสียใจว่าเมื่อ 8 เดือนก่อนตัวเองได้ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 4  เธอต้องเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งเต้านมด้วยการตัดนมทิ้งและทำการรักษาด้วยเคมีบำบัดและการให้คีโม เป็นจำนวนถึง 16 ครั้ง

และต่อมาเธอยังตรวจพบอีกว่ามะเร็งเต้านมของเธอได้ลามไปเป็นมะเร็งที่ปอดด้วย จึงทำให้เธอจะต้องเดินทางไปนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล  เพราะต้องต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และให้ยาแก้ปวดตลอดเวลา ซึ่งเธอต้องเจ็บและทุกข์ทรมานมาก โดยคนที่คอยดูแลเธอขณะที่เธออยู่โรงพยาบาลก็คือลูกสาวของเธอเอง  เธอและสามีมีลูกด้วยกัน 3 คน

เธอต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน จนอาการป่วยของเธอดีขึ้นจึงได้เดินทางกลับมาที่บ้าน ซึ่งในตอนนี้เองที่เธอเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกตจากสามีของเธอ เพราะสามีของเธอจะออกไปนอกบ้านทุกคืน โดยไม่บอกเธอว่าเขาไปไหน ผ่านไปหลายอาทิตย์เขาก็ยังทำตัวเหมือนเดิมคือหายออกจากบ้านในตอนกลางคืน ซึ่งเธอค่อนข้างมั่นใจว่าสามีของเธอคงมีผู้หญิงคนอื่น เธอจึงคุยกับสามีว่าหากเขาต้องการแต่งงานใหม่ ขอให้รอให้เธอตายก่อนแล้วค่อยแต่ง

แต่สามีเธอไม่ได้พูดว่าอะไร ไม่มีความโกรธหรืออารมณ์เสียใส่ บอกแต่เพียงว่าเขารู้สึกสงสารเธอมากที่เธอป่วยเธอพยายามสืบว่าผู้หญิงที่สามีเธอนอกใจไปอยู่ด้วยนั้นเป็นใคร จนวันหนึ่งเธอเอามือถือของสามีมาเช็คข้อมุลการโทรและการแชต ก็พบว่ามีหมายเลขหนึ่งที่สามีเธอติดต่อด้วย โดยข้อความที่คุยกันทำให้เธอมั่นใจว่าเป็นผู้หญิงที่สามีเธอแอบออกไปหาทุกคืนแน่นอน เธอจึงลองเอามือถือตัวเองโทรไปหาผู้หญิงคนนั้น แต่ผู้หญิงคนนั้นรับสาย เธอจึงลองเอามือถือลูกสาวของเธอโทรออกไปหาผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง

  โดยครั้งนี้ผู้หญิงคนนั้น รับสาย และมันก็ทำให้เธอได้รู้ความจริงว่าผู้หญิงที่สามีเธอนอกใจไปหานั้นเป็นน้องสาวแท้ๆของเธอเอง เพราะเธอจำเสียงน้องสาวตัวเองได้ และที่สำคัญเธอได้ยินเสียงแม่ของเธอดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์ด้วย เมื่อเธอรู้ความจริง เธอระบายว่าเธอไม่สามารถไปเผชิญหน้ากับสามีและน้องสาวของเธอเพื่อบอกความจริงได้ว่าเธอรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว

เพราะหากพูดออกไป ครอบครัวของเธอจะต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง และที่สำคัญหากลูกๆของเธอรู้เรื่องนี้ ลูกๆของเธอคงรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ เธอไม่ต้องการให้ลูกเสียใจและไม่เคารพพ่อของตัวเอง 

           ในเฟสมีการระบายเอาไว้แค่นี้ แต่ถ้าไม่ได้เข้ามาเขียนเพิ่มเติมว่าสุดท้ายแล้ว เธอทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อย่างไรต่อไป ได้แต่หวังว่าเธอจะเข็มแข็งขึ้นในเร็ววันเพื่อพร้อมจะเผชิญกับทุกปัญหาและผ่านมันไปให้ได้

 

 

สนับสนุนโดย  Ufabet ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ

ป้ากลับจากญี่ปุ่น ไม่ยอมให้จับตัวไปกักตัว 

  เชื่อว่าหลายคนน่าจะยังจำได้กับเหตุการณ์เมื่อวานนี้ที่มีทางผู้โดยสารที่เดินทางมาจากต่างประเทศประมาณ 5 ประเทศที่เป็นประเทศกลุ่มเสี่ยงถูกเจ้าหน้าที่เรียกกักตัวไว้ที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้วเกิดมีปัญหาความไม่พอใจของผู้โดยสารที่จะถูกกักตัวทำให้ทางเจ้าหน้าที่ต้องอนุญาตให้ผู้โดยสารเดินทางกลับบ้านได้และมากักตัวเองอยู่ที่บ้านนั้นหลังจากนั้นเมื่อทางรัฐบาลทราบถึงปัญหาดังกล่าวก็ได้มีการประกาศนโยบายออกมาให้เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขเรียกตัวผู้โดยสารทุกคนเป็นจำนวน 152 คนเข้ามารายงานตัว

และเข้ารับการปรับตัวตามสถานที่ที่ทางรัฐบาลได้มีการเตรียมเอาไว้ให้โดยไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารทุกคนจำนวน 152 คนนั้นกักตนเองอยู่ที่บ้าน  โดยเมื่อวานนี้ทางรัฐบาลได้มีการประกาศออกมาว่าหากหลัง 18:00 นไปแล้วยังไม่มีการมารายงานตัวก็จะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายซึ่งพบว่ามีผู้โดยสารหลายท่านได้มีการเดินทางกลับมารายงานตัวพร้อมที่จะทำการกักตัวตามที่รัฐบาลต้องการแต่ก็มีบางคนที่ยังคงหลบหนีกันตัวในครั้งนี้อยู่ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการติดตามไปถึงบ้านของผู้โดยสารคนดังกล่าว

ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือคุณป้าที่เดินทางกลับมาจากประเทศญี่ปุ่นแต่เมื่อทางเจ้าหน้าที่ติดต่อเพื่อให้ทางคุณป้าเดินทางกลับไปกลับตัวกับทางเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขกับพบว่าคุณป้ามีการโวยวายต่อว่าโดยเธอยืนยันว่าเธอมีการตรวจวัดไข้ที่สนามบินสุวรรณภูมิเรียบร้อยแล้วและไม่พบว่าเธอเองนั้นมีไข้ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องไปกักตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิเพราะตอนที่อยู่ที่สนามบินกว่าทางเจ้าหน้าที่จะปล่อยตัวเธอออกมาก็เป็นเวลาตั้งแต่ 22:00 นแล้วซึ่งเธอมาถึงที่สนามบินตั้งแต่ 15:00 นซึ่งถือว่าเจ้าหน้าที่มีการทำงานที่ไม่เป็นขั้นตอนและเธอยืนยันว่าเธอสามารถกักตนเองที่บ้านได้ที่สำคัญเธอไม่ได้มีใครและไม่ได้ติดเชื้อใดๆ

แต่ในที่สุดทางเจ้าหน้าที่ก็สามารถเชิญตัวป้าคนดังกล่าวมากักตัวได้โดยพามารายงานตัวที่ศูนย์ดำรงธรรม  ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดชลบุรีและยังมีประชาชนอีกหลายคนที่ยังไม่มารายงานตัวซึ่งแต่ละจังหวัดก็จะมีการประสานงานให้เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขของจังหวัดไปทำการติดตามตามบ้านของผู้โดยสารเหล่านั้นให้มารายงานตัวทั้งหมดป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้เนื่องจากว่าทั้งหมดเดินทางมาจากประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและเป็นประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มากที่สุด แต่สำหรับใครที่มีการหลบหนีทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะมีการดำเนินคดีพร้อมทั้งหากใครให้ที่พักพิงกับผู้ที่หลบหนีก็จะถูกดำเนินคดีด้วยเช่นเดียวกัน