คำพังเพยนี้สามารถใช้ได้กับทุกวงการบนโลกใบนี้ ไม่แม้แต่วงการของฟุตบอล เพราะล่าสุดทางผู้จัดการทีมเลสเตอร์ อย่าง
เบรนแดน รอดเจอร์ส ก็ยังออกมายอมรับว่า ทีมสุนัขจิ้งจอก เลสเตอร์ซิตี้ ของเค้านั้นคงหนีไม่พ้นที่จะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากในการรั้งนักเตะตัวเก่งของพวกเขาเอาไว้ได้ และก่อนที่ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจะหยุดแข่งขันไปนั้น ทางเลสเตอร์ ก็รั้งอันดับสาม ของลีกไว้ได้ซึ่งทำให้มีโอกาสดีที่จะไปเล่นแชมป์เปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลหน้า ส่วนนักเตะคนสำคัญของทีมไม่ว่าจะเป็น เบน ชิลเวลล์, เจมส์ แมดดิสัน และวิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ ก็ได้รับความสนใจจากหลายๆทีม
และในขณะที่ยังมีสัญญากับทีมอีกนาน แต่ตัวเค้าเองนั้น ก็มองว่ามีโอกาสที่จะเสียนักเตะเหล่านี้ไป เหมือนกับตอนที่เสีย แฮรี่ แมกไกร์ ไปให้กับแมนยูไนเต็ด ดังนั้นเรื่องแบบนี้มันจึงเกิดขึ้นได้เสมอกับทีมที่ไม่ได้ใหญ่มากอย่างพวกเค้า ถึงแม้ว่าทีมของเราจะมีนักเตะดาวรุ่งมากมายที่พร้อมจะก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีม แน่นอนว่านักเตะในทีมของพวกเค้านั้นมีความกระหายกับชัยชนะและพร้อมที่จะลงเล่นทุกคน
แต่ไม่มีใครการันตรีได้ว่านักเตะทุกคนจะอยู่โยงกับทีมนานแค่ไหน เพราะมันคือความก้าวหน้าและอนาคตของพวกเค้า และนั่นคือความท้าทายในแต่ละฤดูกาลที่จะต้องรักษานักเตะเหล่านี้ไว้ ไม่ต่างกับที่ต้องรักษามาตรฐานผลการแข่งขันทุกนัดให้ดีไว้เช่นเดียวกัน ซึ่งตัวเค้าเองนั้น มักจะบอกให้ลูกทีมมีสมาธิ และพยายามเต็มที่กับงานที่อยู่ตรงหน้า และเค้ามักจะเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันกับลูกทีมทุกคนในแต่ละวัน เพราะเค้ามักจะเป็นกุนซือประเภทที่ร่วมงานกับนักเตะอย่างใกล้ชิด และไม่ใช่เพียงแค่ในสนามเท่านั้น
เพราะนอกสนามเค้าก็ยังคิดที่จะทำแบบนั้น ซึ่งจะทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันและรักสโมสรนี้เหมือนครอบครัวของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่เค้าจะพยายามซื้อใจลูกทีมด้วยคำว่าครอบครัว และเป็นครอบครัวที่พร้อมจะดูแลคุณทั้งในสนามและนอกสนาม รวมถึงดูแลไปถึงคนที่คุณรักไม่ว่าจะเป็นภรรยาหรือลูกๆของคุณ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจที่ทางสโมสรมีให้กับพวกเค้า เหมือนดังเช่น ตอนที่ เจมี่ วาร์ดี้ ดาวยิงตัวเก่งของพวกเค้ามีข่าวคราวว่าจะถูกอาร์เซนอล ทีมยักษ์ใหญ่แห่งลอนดอน ดึงไปร่วมทีม แต่สุดท้าย นักเตะตัวหลักของพวกเค้าก็เปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย และให้เหตุผลกับแฟนบอลว่า ที่นี่คือครอบครัวของเค้า
สนับสนุนโดย คาสิโนออนไลน์ฝากขั้นต่ำ 100